หุ้นประเภทต่างๆที่น่าลงทุนมีอะไรบ้าง

หุ้นประเภทต่างๆที่น่าลงทุนมีอะไรบ้าง

หุ้นประเภทต่างๆที่น่าลงทุนมีอะไรบ้าง จะเห็นว่า ในอดีตมีการลงทุนในตลาดหุ้นเป็นเส้นทางที่สำคัญที่สุดวิธีหนึ่ง และปัจจุบันหลายคนก็เริ่มมีความสนใจในการเล่นหุ้น หรือซื้อหุ้นมากยิ่งขึ้นเช่นกัน และก่อนที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น

หรือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคนที่กำลังจะเริ่มต้นที่จะลงทุน จะต้องมีการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับหุ้น และอันดับแรกนั้น หากคุณมีความสนใจที่จะเล่นหุ้น คุณต้องรู้จักหุ้นประเภทต่าง ๆ ก่อน และการจำแนกประเภทของหุ้นหลัก ๆ เลย ที่คุณต้องรู้ มีดังนี้

1. หุ้นขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก

บริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดมากที่สุด เรียกว่า หุ้นขนาดใหญ่ โดยมีหุ้นขนาดกลาง และขนาดเล็กเป็นตัวแทนของบริษัทขนาดเล็กต่อเนื่องกัน โดยไม่มีบรรทัดฐานที่แน่นอนที่แยกหมวดหมู่เหล่านี้ออกจากกัน

อย่างไรก็ตาม มาตรฐาน หรือกฎหนึ่งที่ใช้บ่อยมากที่สุด คือ หุ้นที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ตั้งแต่ 10,000 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป จะถือว่าเป็นหุ้นขนาดใหญ่ โดยหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคป ระหว่าง 2 พันล้านดอลลาร์ถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ จะมีคุณสมบัติเป็นหุ้นขนาดกลาง และหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปที่ต่ำกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ ถือว่าเป็นหุ้นขนาดเล็กนั่นเอง

โดยทั่วไปแล้ว หุ้นขนาดใหญ่ถือว่าปลอดภัยมากที่สุด และมีความมาตราการป้องกัน รวมถึงความรอบคอบมากกว่า และมีโอกาสที่จะเติบโตมากในอนาคตมากกว่าการลงทุนหุ้นขนาดกลาง และขนาดเล็ก แต่อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของการลงทุนหุ้นขนาดใหญ่นั้น ย่อมมีความเสี่ยงมากที่สุดนั่นเอง

2. หุ้นในประเทศ และหุ้นต่างประเทศ

ซึ่งคุณสามารถจัดหมวดหมู่หุ้นตามที่ตั้งได้ เพื่อสามารถแยกแยะจุดประสงค์ของหุ้นในประเทศ และต่างประเทศได้ และสิ่งที่สำคัญ คือ ต้องเข้าใจว่าหมวดหมู่ทางภูมิศาสตร์ของหุ้นไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับที่ตั้งที่บริษัทได้รับยอดขาย

ตัวอย่าง เช่น Philip Morris International ( NYSE: PM ) เป็นสำนักงานใหญ่ที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา แต่จะขายพวกยาสูบ และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ นอกประเทศโดยเฉพาะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มบริษัท ข้ามชาติขนาดใหญ่ อาจเป็นเรื่องยากที่จะบอกได้จากการดำเนินธุรกิจ และตัวชี้วัดทางการเงินว่า บริษัทอยู่ในประเทศ หรือระหว่างประเทศอย่างแท้จริง

3. หุ้น IPO

หุ้น IPO คือ หุ้นของบริษัทที่เพิ่งเผยแพร่สู่สาธารณ ะผ่านการเสนอขายครั้งแรก ซึ่งการเสนอขายหุ้น IPO มักจะสร้างความตื่นเต้นเป็นอย่างมาก สำหรับนักลงทุนที่ต้องการเข้าถึงแนวคิดทางธุรกิจที่มีแนวโน้มชั้นล่าง 

แต่ก็มีความผันผวนได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีความขัดแย้งในชุมชนการลงทุนที่เกี่ยวกับโอกาสในการเติบโต และผลกำไร โดยทั่วไปหุ้นจะยังคงสถานะเป็นหุ้น IPO เป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี และนานที่สุด 2 ถึง 4 ปี หลังจากที่เผยแพร่สู่สาธารณะนั่นเอง

หุ้นประเภทต่างๆที่น่าลงทุนมีอะไรบ้าง

4. หุ้นปันผล และหุ้นไม่ปันผล

จะเห็นว่า มีหุ้นจำนวนมากที่จ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นเป็นประจำ และเงินปันผลให้รายได้ที่มีคุณค่าสำหรับนักลงทุน และนั่นทำให้หุ้นปันผลเป็นที่ต้องการอย่างมาก ในแวดวงการลงทุนบางประเภท ในทางเทคนิค การจ่ายเงิน 0.01 ดอลลาร์ต่อหุ้น ทำให้บริษัทมีคุณสมบัติเป็นหุ้นปันผล

อย่างไรก็ตาม หุ้นไม่ต้องจ่ายเงินปันผล หรือหุ้นที่ไม่ปันผล ยังคงเป็นการลงทุนที่แข็งแกร่ง หากราคาของพวกเขาสูงขึ้น เมื่อเวลาผ่านไปบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกบางแห่ง จะไม่จ่ายเงินปันผล แม้ว่าจะมีแนวโน้มในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาว่า “จะมีการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นมากขึ้นก็ตาม”

5. หุ้นรายได้

หุ้นรายได้ เป็นอีกชื่อหนึ่งของหุ้นปันผล เนื่องจาก รายได้ที่หุ้นส่วนใหญ่ที่จ่ายออกมาในรูปของเงินปันผล อย่างไรก็ตาม หุ้นรายได้ยังหมายถึง หุ้นของบริษัทที่มีรูปแบบธุรกิจที่มีขนาดใหญ่มากกว่า

แต่มีโอกาสที่จะเติบโตในระยะยาวค่อนข้างน้อย เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนหัวโบราณที่ต้องการดึงเงินสดจากพอร์ตการลงทุนและจะเห็นว่า ปัจจุบันหุ้นรายได้ เป็นที่ชื่นชอบในหมู่ผู้ที่อยู่ในช่วงเกษียณ หรือใกล้เกษียณนั่นเอง

6. การลงทุน ESG

การลงทุน ESG หมายถึง การลงทุนที่ให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่บริษัทที่สร้างผลกำไร และมีรายได้เพิ่มขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป ESG จะพิจารณาถึงผลกระทบด้านหลักประกันอื่น ๆ ต่อสิ่งแวดล้อม พนักงานของบริษัท ลูกค้า และสิทธิของผู้ถือหุ้น

และการยึดติดกับกฎระเบียบของ ESG คือ การลงทุนที่รับผิดชอบต่อสังคม หรือ SRI ซึ่งนักลงทุนที่ใช้ SRI จะคัดกรองหุ้นของบริษัท ที่ไม่ตรงกับมูลค่าที่สำคัญที่สุดของพวกเขา อย่างไรก็ตาม การลงทุน ESG มีองค์ประกอบเชิงบวกมากกว่าการยกเว้นบริษัทที่ไม่ผ่านการทดสอบที่สำคัญ

แต่เป็นการสนับสนุนให้ลงทุนในบริษัทที่ทำสิ่งต่าง ๆ ตามมาตรฐานได้ดีที่สุด ด้วยหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ความมุ่งมั่นที่ชัดเจนต่อหลักการ ESG สามารถปรับปรุงผลตอบแทนจากการลงทุนได้ จึงมีความน่าสนใจเป็นอย่างมากที่จะลงทุนร่วมกับบริษัทประเภทนี้

7. ภาคตลาดหุ้น

โดยภาคตลาดหุ้นจะแยกตามประเภทของธุรกิจตามหมวดหมู่พื้นฐาน ซึ่งหมวดหมู่ที่ใช้บ่อยที่สุด มีดังนี้

  • บริการด้านการสื่อสาร – บริษัทโทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต สื่อ และความบันเทิง
  • ดุลยพินิจของผู้บริโภค – ผู้ค้าปลีก ผู้ผลิตรถยนต์ โรงแรม และร้านอาหาร
  • Consumer Staples – บริษัทอาหาเครื่องดื่ยาสูบ บริษัทของใช้ในครัวเรือน และของใช้ส่วนตัว
  • พลังงาน – บริษัทสำรวจ และผลิตน้ำมัน และก๊าซ และผู้ประกอบการปั๊มน้ำมัน
  • การเงิน – ธนาคารผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน การจำนอง บริษัทประกันภัย และนายหน้า
  • การดูแลสุขภาพ – บริษัทประกันสุขภาพ และผู้ผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์
  • อุตสาหกรรม – สายการบิน และอวกาศ และบริษัทรถไฟ
  • วัสดุ – เหมืองแร่ ผลิตภัณฑ์จากป่า วัสดุก่อสร้าง บรรจุภัณฑ์ และบริษัทเคมี
  • อสังหาริมทรัพย์ – บริษัทจัดการ และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
  • เทคโนโลยี – ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ เซมิคอนดักเตอร์ อุปกรณ์สื่อสาร และบริษัทที่ให้บริการด้านไอที
  • สาธารณูปโภค – ไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ น้ำ พลังงานหมุนเวียน

8. หุ้นสามัญ และหุ้นบุริมสิทธิ

หุ้นที่คนลงทุนส่วนใหญ่ เป็นหุ้นสามัญ ซึ่งหุ้นสามัญแสดงถึงความเป็นเจ้าของบางส่วนในบริษัท โดยผู้ถือหุ้นมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งตามสัดส่วนของมูลค่าทรัพย์สินที่เหลืออยู่หากบริษัทเลิกกิจการ และหุ้นสามัญช่วยให้ผู้ถือหุ้นมีศักยภาพแบบไม่จำกัดในทางทฤษฎี แต่ก็เสี่ยงที่จะสูญเสียทุกอย่างหาก บริษัทล้มเหลวโดยไม่มีทรัพย์สินเหลืออยู่เลย

ผลลัพธ์สุทธิ คือ หุ้นบุริมสิทธิ ในฐานะการลงทุนมักจะมีลักษณะใกล้เคียงกับการลงทุนตราสารหนี้ที่มีรายได้อย่างถาวรมากกว่าหุ้นสามัญทั่วไป บ่อยครั้งที่บริษัทจะเสนอเฉพาะหุ้นสามัญ นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เพราะว่าเป็นสิ่งที่ผู้ถือหุ้นมักแสวงหาซื้อมากที่สุดนั่นเอง

Credit https://ufa6699.com

อ่านบทความน่าสนใจเพิ่มเติม

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *